สมัยที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐฟลอริดา ชาร์ลี วอร์ดาเป็นนักกีฬาในสองประเภท ในปีค.ศ. 1993 ควอเตอร์แบ็กหนุ่มคนนี้ได้รับรางวัลไฮส์แมนโทร-ฟี่ในฐานะนักอเมริกันฟุตบอลระดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศ และเขายังเป็นดาวเด่นในทีมบาสเกตบอลอีกด้วย
วันหนึ่งในระหว่างการพูดคุยก่อนการแข่งขัน โค้ชบาสเกตบอลของเขาใช้ภาษาที่ไม่สุภาพขณะพูดคุยกับผู้เล่น เขาสังเกตเห็นว่าชาร์ลี “มีท่าทีอึดอัด” จึงพูดว่า “มีอะไรหรือเปล่าชาร์ลี” ชาร์ลีกล่าวว่า “โค้ชครับ คือว่า โค้ชโบว์เดน [โค้ชฟุตบอล] ไม่ได้ใช้ภาษาแบบนั้น และเขาก็ทำให้เราเล่นกันอย่างเต็มที่”
ลักษณะที่เหมือนพระคริสต์ของชาร์ลีทำให้เขาพูดคุยอย่างสุภาพกับโค้ชบาสเกตบอลเกี่ยวกับปัญหานี้ได้ จริงๆแล้ว โค้ชบอกนักข่าวว่า เวลาที่เขาคุยกับชาร์ลีนั้น “มันราวกับว่ามีทูตสวรรค์กำลังมองมาที่คุณ”
ชื่อเสียงที่ดีในหมู่ผู้ไม่เชื่อและคำพยานที่สัตย์ซื่อในเรื่องพระคริสต์นั้นยากที่จะรักษาไว้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน เราผู้เชื่อในพระเยซูสามารถเป็นเหมือนพระองค์ได้มากขึ้นโดยมีพระองค์ทรงคอยช่วยเหลือและนำทางเรา ในทิตัส 2 บอกให้ชายหนุ่มและรวมถึงผู้เชื่อทุกคน “ ให้รู้จักควบคุมตนเอง ” (ข้อ 6 TNCV) และให้ “สำแดงความซื่อตรง...และถ้อยคำอันมีหลักซึ่งไม่มีใครตำหนิได้” (ข้อ 7-8 TNCV)
เมื่อเราดำเนินชีวิตเช่นนั้นด้วยกำลังของพระคริสต์ เราจะไม่เพียงถวายเกียรติแด่พระองค์เท่านั้น แต่ยังสร้างชื่อเสียงที่ดีด้วย แล้วเมื่อพระเจ้าทรงประทานสติปัญญาที่เราต้องการ คนอื่นจึงจะยอมฟังในสิ่งที่เราพูด
เปาโลไปที่พระวิหารเพื่อร่วมพิธีชำระตัวของพวกยิว (กจ.21:26) แต่พวกยุแหย่บางคนที่คิดว่าท่านสอนผิดธรรมบัญญัติหาทางจะฆ่าท่าน (ข้อ 31) พวกทหารโรมันมาถึงอย่างรวดเร็วและจับกุมเปาโล มัดท่าน และพาตัวท่านออกจากบริเวณพระวิหาร โดยมีฝูงชนตะโกนว่า “จงเอาเขาไปฆ่าเสีย” (ข้อ 36)
อัครทูตเปาโลมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการคุกคามนี้ ท่านถามผู้บังคับบัญชากองทหารว่าให้ท่าน “พูดกับคนทั้งปวง” ได้หรือไม่ (ข้อ 39) เมื่อผู้นำโรมันอนุญาต เปาโลซึ่งมีเลือดไหลและมีแผลฟกช้ำจึงหันไปหาฝูงชนที่โกรธแค้นและเล่าให้พวกเขาฟังถึงความเชื่อที่ท่านมีในพระเยซู (22:1-16)
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน เป็นเรื่องเก่าแก่ในพระคัมภีร์ที่เราอาจเข้าถึงได้ยาก เมื่อไม่นานมานี้มีชายคนหนึ่งชื่อปีเตอร์ถูกจับขณะไปเยี่ยมเพื่อนคริสเตียนที่ถูกจำคุกในประเทศที่มีการข่มเหงผู้เชื่อเกิดขึ้นอยู่เสมอ ปีเตอร์ถูกจับโยนเข้าไปในห้องขังที่มืดและถูกปิดตาระหว่างการสอบสวน เมื่อผ้าปิดตาถูกเปิดออก เขาเห็นทหารสี่นายถือปืนเล็งมาที่เขา ปีเตอร์ทำอย่างไร เขามองว่านี่คือ “โอกาสเหมาะที่สุด...ที่จะเล่าเรื่องความเชื่อของเขา”
เปาโลและคนในยุคปัจจุบันเช่นปีเตอร์ได้ชี้ให้เห็นความจริงที่สำคัญยิ่งและไม่อาจปฏิเสธได้ ถึงแม้พระเจ้าจะทรงอนุญาตให้เราพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือแม้แต่การกดขี่ข่มเหง แต่หน้าที่ของเรายังคงอยู่ คือการ “ประกาศข่าวประเสริฐ” (มก.16:15) พระองค์จะทรงอยู่กับเราและจะประทานให้เรามีสติปัญญาและฤทธิ์เดชเพื่อเล่าถึงความเชื่อของเรา
เมื่อพูดถึงการวิ่ง 100 เมตร คนมักจะคิดถึงยูเซน โบลต์เจ้าของสถิติโลกคนปัจจุบัน แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถลืมจูเลีย “เฮอริเคน” ฮอว์กินส์ได้ ในปี 2021 จูเลียวิ่งเข้าเส้นชัยก่อนนักวิ่งคนอื่นๆ และคว้าชัยชนะในการวิ่ง 100 เมตรในการแข่งขันกีฬาอาวุโสหลุยส์เซียน่า เมื่อเทียบกับโบลต์ซึ่งทำสถิติไว้ที่ 9.58 วินาที จูเลียอาจจะช้ากว่าเขาแค่ 60 วินาที แต่เธอมีอายุ 105 ปี!
ยังมีเรื่องน่าชื่นชมอีกมากถึงผู้หญิงในวัยเดียวกับเธอซึ่งยังคงลงวิ่งแข่ง และยังมีเรื่องน่าชื่นชมอีกมากมายเกี่ยวกับผู้เชื่อที่ไม่เคยหยุดวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมายอยู่ที่พระเยซู (ฮบ.12:1-2) ผู้เขียนสดุดีกล่าวถึงผู้ที่มีความสัตย์ซื่อในบั้นปลายของชีวิตว่า “คนชอบธรรมก็งอกขึ้นอย่างต้นอินทผลัม...มันแก่แล้วก็ยังเกิดผล มันมีน้ำเลี้ยงเต็มและเขียวสดอยู่” (92:12-14)
ผู้เชื่อสูงวัยที่ต้องการมีชีวิตตามมาตรฐานนี้สามารถค้นหาคำสอนเพิ่มเติมได้จากจดหมายของอัครทูตเปาโลที่เขียนถึงทิตัสว่า ชายสูงวัยจะต้อง “มีความเชื่อ ความรัก และความอดทนตามสมควร” (ทต.2:2) ขณะที่หญิงสูงวัยจะต้องเป็น “ผู้สอนสิ่งที่ดีงาม” (ข้อ 3)
ไม่มีการเรียกร้องให้ผู้เชื่อที่สูงวัยหยุดวิ่งในการแข่งขัน การวิ่งในที่นี้อาจไม่ใช่ในแบบเดียวกับจูเลีย แต่เป็นการวิ่งในลักษณะที่ถวายเกียรติพระเจ้าด้วยกำลังที่พระองค์ประทานให้ ขอให้เราทุกคนวิ่งแข่งเพื่อจะรับใช้พระองค์และรับใช้ผู้อื่น
ผมกับภรรยาปั่นจักรยานเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ต่อปีบนเส้นทางรอบมิชิแกนฝั่งตะวันตก และเราได้ติดอุปกรณ์เสริมที่จักรยานเพื่อประสบการณ์ในการขี่ที่ดียิ่งขึ้น ซูมีไฟหน้า ไฟท้าย มาตรวัดระยะทาง และตัวล็อกจักรยาน ส่วนผมมีที่วางขวดน้ำ ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถขี่จักรยานไปบนเส้นทางนั้นได้ทุกวันในระยะทางเท่าเดิมโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมเหล่านี้เลย มันมีประโยชน์ก็จริงแต่ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่จำเป็น
ในพระธรรมเอเฟซัส อัครทูตเปาโลเขียนถึงอุปกรณ์เสริมอีกชุดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเลือกแต่เป็นสิ่งจำเป็น ท่านกล่าวว่าเราต้อง “สวม” สิ่งเหล่านี้เพื่อเราจะประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตตามความเชื่อในพระเยซู ชีวิตของเราไม่ใช่เรื่องง่าย เรากำลังอยู่ในสงครามที่ต้อง “ต่อต้านยุทธอุบายของพญามาร” (6:11) ดังนั้น เราจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม
หากปราศจากสติปัญญาจากพระคัมภีร์ เราอาจถูกชักจูงให้โอนอ่อนกับข้อผิดพลาด หากไม่มีพระเยซูคอยช่วยเราให้ดำเนินชีวิตตาม “ความจริง” ของพระองค์ เราก็จะพ่ายแพ้แก่คำโกหก (ข้อ 14) หากไม่มี “ข่าวประเสริฐ” เราก็ขาด “สันติสุข” (ข้อ 15) หากไม่มี “ความเชื่อ” เป็นโล่ที่คอยปกป้องเรา เราก็จะถูกความสงสัยโจมตี (ข้อ 16) “ความรอด” และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีเพื่อพระเจ้าได้ (ข้อ 17) และทั้งหมดนี้คือชุดเกราะของเรา
เราจำเป็นต้องเดินไปบนเส้นทางแห่งชีวิตโดยมีสิ่งที่คอยปกป้องเราจากอันตราย เราจะเป็นเช่นนั้นได้เมื่อพระคริสต์ทรงเตรียมเราให้พร้อมสำหรับความท้าทายในระหว่างเส้นทาง ด้วยการ “สวม” ยุทธภัณฑ์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้
“เธอไม่ใช่คนที่นี่” คำพูดเหล่านั้นทำร้ายหัวใจของเด็กหญิงวัยแปดขวบ และเธอยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ ครอบครัวของเธออพยพจากค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศที่ถูกทำลายจากสงครามไปยังประเทศใหม่ และบัตรตรวจคนเข้าเมืองของเธอมีคำว่า คนต่างด้าว ประทับอยู่ เธอรู้สึกว่าเป็นส่วนเกิน
เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าเธอจะเชื่อในพระเยซูแต่เธอยังคงรู้สึกแปลกแยก ถูกทิ่มแทงด้วยความรู้สึกว่าเธอเป็นคนนอกที่ไม่ได้รับการต้อนรับ ขณะอ่านพระคัมภีร์ เธอพบพระสัญญาในเอเฟซัสบทที่ 2 และในข้อ 12 เธอเห็นคำว่า คนต่างด้าว คำเก่าๆที่ทำให้เจ็บปวด “จงระลึกว่าครั้งนั้นท่านแยกจากพระคริสต์ ไม่ได้เป็นพลเมืองอิสราเอลและเป็นคนต่างด้าวอยู่นอกพันธสัญญาที่ทรงสัญญาไว้ ไม่มีความหวังและอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า” (อฟ.2:12 TNCV) แต่ขณะที่อ่านต่อไป เธอได้รู้ว่าการเสียสละของพระคริสต์เปลี่ยนสถานะของเธออย่างไร เธออ่านข้อ 19 ซึ่งบอกเธอว่า “เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่ คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป” เธอเป็น “พลเมืองเดียวกัน” กับธรรมิกชนของพระเจ้า เมื่อตระหนักว่าเธอเป็นพลเมืองสวรรค์เธอจึงเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เธอจะไม่ใช่คนนอกอีกต่อไป พระเจ้าทรงรับเธอเข้ามาและทรงยอมรับเธอ
เพราะบาปของเรา เราจึงเหินห่างจากพระเจ้า แต่เราไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างนั้น พระเยซูทรงนำสันติสุขมาสู่ทุกคนที่ “อยู่ไกล” (ข้อ 17) ทำให้ทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์ได้เป็นพลเมืองเดียวกันในอาณาจักรนิรันดร์ของพระองค์ คือเป็นหนึ่งเดียวกันในฐานะพระกายของพระคริสต์
ตอนที่เอลีอาน่าหลานสาวของฉันอายุเพียงแค่เจ็ดขวบ เธอได้ดูวิดีโอที่โรงเรียนเกี่ยวกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในกัวเตมาลา เธอบอกแม่ว่า “เราต้องไปที่นั่นเพื่อช่วยพวกเขา” แม่ตอบเธอว่าพวกเราจะคิดถึงเรื่องนี้เมื่อหนูโตขึ้น
และเป็นไปตามที่คาด เอลีอาน่าไม่เคยลืม เมื่อเธออายุได้สิบขวบครอบครัวของเธอเดินทางไปช่วยที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้น สองปีต่อมาพวกเขากลับไปอีก คราวนี้พาครอบครัวอื่นจากโรงเรียนของเอลีอาน่าไปด้วย และเมื่อเอลีอาน่าอายุสิบห้าปี เธอกับพ่อไปรับใช้ที่กัวเตมาลาอีกครั้ง
บางครั้งเราคิดว่าความปรารถนาและความฝันของเด็กเล็กๆไม่จริงจังและสำคัญเท่ากับความปรารถนาของผู้ใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าพระคัมภีร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น พระเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ ดังเช่นในกรณีของซามูเอล (1 ซมอ.3:4) พระเยซูทรงยกย่องความเชื่อของเด็กเล็กๆ (ลก.18:16-17) และเปาโลกล่าวว่าผู้เชื่อที่อ่อนอาวุโสไม่ควรปล่อยให้ผู้คนหมิ่นประมาทเพียงเพราะพวกเขา “ยังเยาว์วัย” (1 ทธ.4:12) ดังนั้นเราจึงถูกเรียกให้ชี้แนะบุตรหลานของเรา (ฉธบ.6:6-7; สภษ.22:6) โดยรู้ว่าความเชื่อของพวกเขาเป็นแบบอย่างแก่เราทุกคน (มธ.18:3) และเข้าใจว่าการกีดกันพวกเขาเป็นสิ่งที่พระคริสต์ทรงกล่าวห้าม (ลก.18:15)
เมื่อเราเห็นประกายแห่งความหวังในตัวเด็กๆ งานของเราในฐานะผู้ใหญ่คือช่วยโหมไฟแห่งความหวังนั้นให้ลุกโชน และเมื่อพระเจ้าทรงนำเรา จงหนุนใจพวกเขาให้อุทิศชีวิตในการวางใจในพระเยซูและปรนนิบัติรับใช้พระองค์
เป็นเวลากว่า 130 ปีแล้วที่หอไอเฟลซึ่งเป็นสัญลักษณ์ถึงอัจฉริยภาพและความงามทางสถาปัตยกรรมได้ตั้งตระหง่านอยู่เหนือกรุงปารีส ปารีสเองก็ยกย่องหอคอยนี้ด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เมืองงดงาม
แต่ในตอนที่กำลังสร้างหอคอยนี้ผู้คนมากมายกลับไม่ค่อยเห็นค่านัก เช่นที่นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้โด่งดัง กีย์ เดอ โมปาสซ็องค์บอกว่ามันมี “รูปทรงผอมพิลึกพิลั่นเหมือนปล่องไฟโรงงาน” เขามองไม่เห็นความงามของมัน
พวกเราที่รักพระเยซูและมอบหัวใจให้พระองค์ทรงมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรานั้น มองว่าพระองค์ทรงงดงามจากสิ่งที่พระองค์เป็นและได้ทรงกระทำเพื่อเรา กระนั้นผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กลับเขียนข้อความเหล่านี้ “ท่านไม่มีรูปร่างหรือความสวยงามซึ่งเราทั้งหลายจะมองท่าน และไม่มีความงามที่เราจะพึงปรารถนาท่าน” (53:2)
แต่พระเกียรติอันสูงส่งของสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเรานั้น คือรูปแบบของความงามที่เที่ยงแท้และบริสุทธิ์ที่สุดที่มนุษย์จะรู้จักและสัมผัสได้ พระองค์ทรง “แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบความเจ็บปวดของเราไป” (ข้อ 4) พระองค์ทรง “บาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้น ตกแก่ท่าน ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” (ข้อ 5)
เราจะไม่มีวันรู้จักใครที่งดงามและยิ่งใหญ่ได้เท่ากับพระองค์ผู้ทรงทนทุกข์เพื่อเราบนไม้กางเขน และรับโทษบาปของเราที่ไม่อาจบรรยายได้ไว้กับพระองค์เองผู้นั้นคือพระเยซู ผู้ทรงงดงาม ให้เราดำเนินชีวิตด้วยการมองที่พระองค์
ในชมรมพระคัมภีร์หลังเลิกเรียนที่ซูภรรยาของผมรับใช้อยู่สัปดาห์ละครั้งนั้น มีการขอให้เด็กๆบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือเด็กในประเทศยูเครนซึ่งได้รับความเสียหายจากสงคราม หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ซูบอกเรื่องโครงการนี้้กับแม็กกี้หลานสาววัยสิบเอ็ดขวบของเรา เราก็ได้รับจดหมายที่ส่งไปรษณีย์มาจากเธอ จดหมายนั้นมีเงินอยู่ 3.45 ดอลล่าร์พร้อมกับข้อความว่า “เงินทั้งหมดที่หนูมีตอนนี้สำหรับเด็กในยูเครน แล้วหนูจะส่งมาให้อีกนะคะ”
ซูไม่ได้บอกให้แม็กกี้ช่วย แต่อาจเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงนำ และแม็กกี้ซึ่งรักพระเยซูและแสวงหาที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ได้ตอบสนองการทรงนำนั้น
เรื่องนี้ทำให้เราได้เรียนรู้อย่างมากเมื่อคิดว่าของขวัญเล็กน้อยนี้มาจากหัวใจที่ยิ่งใหญ่ นี่เป็นภาพสะท้อนถึงคำสอนเรื่องการให้ของเปาโลใน 2 โครินธ์ 9 ประการแรก ท่านได้แนะนำว่าเราควรหว่าน “มาก” (ข้อ 6) แน่นอนว่าของขวัญแบบแม็กกี้ที่ให้ “ทั้งหมดที่มี” นั่นเป็นการให้ด้วยใจเอื้อเฟื้ออย่างมาก เปาโลเขียนอีกว่าของขวัญของเราควรให้ด้วยใจยินดีตามที่พระเจ้าทรงนำและตามที่เราให้ได้ ไม่ใช่เพราะเรา “ฝืนใจ” (ข้อ 7) และท่านยังได้กล่าวถึงความสำคัญของ “ของที่ให้แก่คนยากจน” (ข้อ 9) ด้วยการอ้างอิงถึงสดุดี 112:9
เมื่อโอกาสในการให้มาอยู่ตรงหน้า ขอให้เราทูลถามพระเจ้าว่าจะทรงให้เราตอบสนองอย่างไร เมื่อเราให้ด้วยใจกว้างขวางและด้วยใจยินดีกับผู้ที่ขัดสนตามที่พระองค์ทรงนำ เราก็ได้ให้ในแบบที่จะทำให้ “เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า” (2 คร.9:11) ซึ่งเป็นการให้ด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่
บิล โทไบอัสเป็นเพื่อนผมสมัยเรียนวิทยาลัยที่ไปรับใช้เป็นมิชชันนารีบนเกาะในแปซิฟิกเป็นเวลาหลายปี เขาเล่าเรื่องชายหนุ่มคนหนึ่งที่จากบ้านเกิดเพื่อไปแสวงโชค แต่เพื่อนพาเขาไปคริสตจักรที่ซึ่งเขาได้ยินข่าวดีที่พระเยซูเสนอ และเขาได้เชื่อวางใจในพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
ชายหนุ่มต้องการนำข่าวดีนี้ไปบอกกับพวกพ้องของตนที่ “จมอยู่กับเวทมนตร์คาถา” เขาจึงมองหามิชชันนารีที่จะไปประกาศกับคนเหล่านั้น แต่มิชชันนารีคนนั้นบอกให้เขาแค่ “ไปบอกพวกเขาว่าพระเจ้าทรงทำอะไรให้คุณ” (ดู มก.5:19) และนั่นคือสิ่งที่เขาทำ หลายคนในบ้านเกิดของเขาต้อนรับพระเยซู แต่ความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อหมอผีประจำเมืองตระหนักว่าพระคริสต์ทรงเป็น “ทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต” (ยน.14:6) หลังจากที่เขาเชื่อในพระเยซู เขาก็บอกคนทั้งเมืองเรื่องพระองค์ ภายในเวลาสี่ปี คำพยานของชายหนุ่มคนหนึ่งได้นำไปสู่การก่อตั้งคริสตจักรเจ็ดแห่งในภูมิภาคนี้
ในพระธรรม 2 โครินธ์ เปาโลได้เริ่มแผนงานที่ชัดเจนในการนำข่าวประเสริฐไปสู่คนทั้งหลายที่ยังไม่รู้จักพระคริสต์ และแผนงานนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่มิชชันนารีบอกกับชายหนุ่มที่เชื่อในพระเยซู เราต้องเป็น “ทูตของพระคริสต์” คือเป็นตัวแทนของพระองค์ “โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา” (5:20) ผู้เชื่อทุกคนมีเรื่องราวเฉพาะตัวที่จะบอกว่าพระเยซูทรงทำให้พวกเขา “ถูกสร้างใหม่แล้ว...ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์” (ข้อ 17-18) ขอให้เราบอกกับคนอื่นว่าพระองค์ทรงทำอะไรบ้างเพื่อเรา